วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

ขนมหม้อแกง


ส่วนผสม
-ฟักทองนึ่งสุกแล้วบี้ให้แตก 1 ถ้วยตวง
-ไข่ 5 ฟอง
-มะพร้าว 11/2ถ้วยตวง
-น้ำตาลปีบ 11/2 ถ้วยตวง
-หัวหอม
-น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันพืช

วิธีทำ
1. นึ่งเผือกให้สุก แล้วปอกเปลือก บดให้แตก อย่าให้เป็นเม็ด
2. ไข่ น้ำตาล มะพร้าว ผสมให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาวบาง
3. นำเผือกและน้ำกะทิที่ผสมไว้ ค่อยๆ ผสมทีละน้อย จนเผือกละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เอาขึ้นตั้งไฟกลาง คนพอขนมแข็งตัว
4. ซอยหอม เจียวให้เหลือง พักไว้
5. ทำน้ำมันในถาดสำหรับปิ้ง แล้วนำขนมใส่ลงในถาด เอาเข้าเตาอบหรือผิงไฟล่างไฟบน แล้วแต่สะดวก

http://www.zomzaa.com/uploads/cookery_images/Kanom%20Mokang/kanommokang-1.jpg
http://naichef.50megs.com/khanomthai1.html#19

ขนมหน้านวล


ส่วนผสม
-ไข่ไก่ (ใช้แต่ไข่แดง) 4 ฟอง
-น้ำตาลป่น 3/4ถ้วยตวง
-แป้งสาลีร่อนแล้ว 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.ตีไข่ให้ขึ้นฟู ใส่น้ำตาลทรายป่นทีละน้อยจนหมด แล้วจึงใส่แป้ง ค่อยๆ คนเบาๆ ให้เข้ากัน
2.นำน้ำมันพืชหรือน้ำมันหมูทาพิมพ์รูปเรือ โดยตักน้ำมันหยอดลงในพิมพ์เล็กน้อย แล้วจึงเรียงพิมพ์ลงในถาดอบ อบไฟ 250 องศาฟาเรนไฮต์ จนพิมพ์ร้อน ใช้เวลาประมาณ 2-3 นาที จึงเอาออกจากเตา
3.ตักขนมใส่ลงในพิมพ์ 3/4 ของพิมพ์ อบไฟ 250 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 10-15 นาที จนขนมสุกเหลือง เอาออกจากเตา
4.ปล่อยให้ขนมเย็น แล้วจึงแกะออกจากพิมพ์วางบนตะแกง ปล่อยไว้ให้เย็น จึงเก็บใส่กล่องปิดฝา

หมายเหตุ ลักษณะขนมควรเป็นสีเหลืองนวล เป็นโพรง เมื่อหักออกจะมีน้ำเชื่อมเยิ้มเหนียว รับประทานกับมะพร้าวทึนทึก



http://naichef.50megs.com/khanomthai1.html#19

ขนมเสน่ห์จันทร์



ส่วนผสม
-แป้งข้าวเหนียว 1/2 ถ้วยตวง
-แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
-หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
-ไข่ไก่ 2 ฟอง
-ผงจันป่น 1/2 ช้อนชา
-สีผสมอาหารสีเหลือง

วิธีทำ

1. ผสมแป้งทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน
2. ผสมหัวกะทิกับน้ำตาล ละลายแล้วกรองผสมแป้งกับกะทิ และผงจันป่นสีเหลือง
3. ตั้งไฟอ่อน กวนจนจับกัน
4. ไข่ไก่ใช้แต่ไข่แดง ใส่ขณะแป้งร้อน รีบคนให้เข้ากัน ยกลง
5. พอขนมอุ่นปั้นได้ ให้ปั้นเป็นรูปผลจัน ตรงขั้วผลใช้น้ำตาลเคี่ยวสีน้ำตาลหยอด



http://naichef.50megs.com/khanomthai1.html#55

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ผลการประเมินบล็อก

-เนื้อหาเกี่ยวกับอาชีพ
วิถีชีวิตของคนไทยนั้นเป็นสังคมเกษตรที่มีผลิตผลทางธรรมชาติอยู่มากมาย
เช่น กล้วย อ้อย มะม่วง รวมไปถึงข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ฯลฯ ที่สามารถปรุงเป็น ขนม ได้มากมายหลายชนิด เช่น อยากได้ กะทิ ก็เก็บมะพร้าวมาขูดคั้นน้ำกะทิ อยากได้ แป้งก็นำข้าวมาโม่เป็นแป้งทำขนมอร่อยๆ เช่น บัวลอย กินกันเองในครอบครัว
ขนมไทยถูกนำไปใช้ในงานบุญตามประเพณีและงานพิธีกรรม
ที่เกี่ยวข้องในวิถีชีวิตชาวไทย โดยนิยมทำขนมชื่อมีมงคล ได้แก่ ขนมตระกูลทองทั้งหลาย เพราะคนไทยถือว่า "ทอง" เป็น ของดีมีมงคลทำแล้วได้มีบุญกุศล มีเงินมีทอง มีลาภยศ สรรเสริญ สมชื่อขนมนั่นเอง และให้กลุ่มผู้สนใจการทำขนมไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลความรู้ได้มากขึ้น
-วัตถุประสงค์/เป้าหมาย
1.เพื่อให้ทราบถึงประวัติความเป็นมาและวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย
2. เพื่ออนุรักษ์ขนมไทยให้อยู่คู่กับคนไทย
3. เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในหมู่สมาชิก และผู้สนใจในการทำขนมไทยทั้งหลาย
4. เพื่อส่งเสริมให้คนไทยหันมาบริโภคขนมไทยแทนขนมขบเคี้ยว
5. เพื่อส่งเสริมอาชีพให้แก่คนไทย และให้เป็นสินค้าที่ต้องการของคนทั่วโลก
6. เพื่อให้ผู้ที่สนใจทำขนมไทยรับประทานเอง
7. เพื่อคนไทยใช้เวลาให้เกิดประโยชน์แถมมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
8. เพื่อเผยแพร่การทำขนมไทยให้บุคคลทั่วโลกที่สนใจได้รับรู้
-เนื้อหาเป็นประโยชน์(4 คะแนน)
การทำขนมไทยเป็นการช่วยอนุรักษ์ความเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ช่วยในการผ่อนคลายทำให้อารมณ์ดีขึ้น สามารถนำไปสร้างเป้นอาชีพหรือรายได้เสริมได้
-ความน่าสนสนใจ( 4 คะแนน)
-ความทันสมัย (4 คะแนน)
ในปัจจุบันวิธีการทำขนมไทยนั้นมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้มีสีสันน่ารัปประทานมากยิ่งขึ้น และยังเพิ่มคุณค่าทางอาหารโดยเน้นสีผสมอาหารที่ได้จากธรรมชาติเป็นหลัก และยังปลอดสิ่งเจือปน แต่ขนมไทยยังคงเน้นความเป็นเอกลักษณ์ไทยไว้
-การออกเเบบ/ความสวยงาม (4 คะแนน)
การปรับปรุงรูปแบบผลงานที่มีอยู่แล้ว หรือสิ่งต่าง ที่มีอยู่แล้วให้เหมาะสม ให้มีความแปลกความใหม่เพิ่มขึ้น ถ้อยคำ เส้น สี แสง รูปแบบ และวัสดุต่าง ๆอย่างเหมาะสม เพื่อความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
-ความเรียบง่าย (อ่านง่าย เข้าใจง่าย) (4 คะแนน)
อ่านแล้วได้ ข้อคิดดีๆ และความรู้ใหม่ๆที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ มีรูปภาพประกอบเข้าใจง่าย แต่ก็ไม่รบกวนสายตาของผู้ใช้
สรุปคะแนน 21 คะแนน

ขนมไข่


ส่วนผสม
-ไข่ขาวของไข่ไก่ 1 ถ้วยตวง
-แป้งเค้ก 1 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
-น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
-ผงฟู 1 ช้อนชา



วิธีทำ
1.ตีไข่ให้ขึ้นฟู แล้วเติมน้ำตาลทีละน้อยจนหมด ตีต่อไปจนน้ำตาลตั้งยอดอ่อน
2.ร่อนแป้งผงฟูเข้าด้วยกัน แล้วแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ใส่แป้งส่วนที่ 1 ลงในไข่ที่ตีแล้ว เคล้าเบาๆให้เข้ากัน ใส่น้ำมะนาวลงไป ใส่แป้งส่วนที่ 2 เคล้าเบาๆอีกครั้ง
3.ทาน้ำมันพืชที่พิมพ์ขนมอบให้ร้อน แล้วใส่แป้งที่ผสมลงในพิมพ์ปิดฝาอบให้แป้งสุกแห้งจนขนมเป็นสีทอง แกะขึ้นใส่ถาด พักไว้ให้เย็น

ขนมทราย


ส่วนผสม
-แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วยตวง
-น้ำดอกไม้ 2 1/2 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย 2 1/2
-มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้นๆ

วิธีทำ
1.นวดแป้งกับน้ำดอกไม้ 1/2 ถ้วยตวง ใช้ผ้าขาวบางบิดหมาดคลุมไว้
2.ต้มน้ำตาลทราย กับน้ำดอกไม้ให้เดือด กรองให้สะอาด พักไว้ให้เย็น
3.ยีแป้งที่นวดไว้บนกระชอนลวด แล้วยีซ้ำอีกครั้ง ให้แป้งลงในรังถึงที่ปูด้วยผ้าขาว บางไว้แล้ว
4.นำแป้งที่ยีได้นึ่งในน้ำเดือดประมาณ 45 นาที จนแป้งสุกคอยระวังอย่าให้น้ำแห้งพอแป้งสุก เทใส่ชามผสมน้ำพักไว้ให้เย็น
5.เทน้ำเชื่อมที่เย็นแล้วลงในชามแป้งคนเร็วๆ ให้ทั่ว พักไว้ประมาณ 10 นาที ใช้ซ้อมยีให้แป้งกระจาย เนื้อละเอียดฟูดี จึงอบด้วยดอกมะลิหรือเทียนอบไว้ 1 คืน
6.เสริฟกับมะพร้าวทึนทึกขูดฝอยเป็นเส้นๆ

http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn15.htm

ขนมข้าวตู


ส่วนผสม
-ข้าวตาก 1 ถ้วยตวง
-น้ำตาลปึก 1 ถ้วยตวง
-มะพร้าวทึนทึกขูดละเอียด 1 ถ้วยตวง
-น้ำลอยดอกไม้

วิธีทำ
1.น้ำข้าวตากมาคั่วให้เหลืองกรอบแล้วนำไปป่นให้ละเอียดร่อน แล้วป่นอีกครั้งให้ละเอียดดี
2.ผสมน้ำตาลกับน้ำตั้งไฟให้น้ำตาลละลาย แล้วนำมากรองด้วยผ้าขาวบางใส่กระทะทองตั้งไฟเคี่ยวให้น้ำตาล เหนียว
3.ใส่มะพร้าวขูดลงกวนกับน้ำตาลที่เคี่ยวไว้ ยกลงจากเตาพักไว้ให้เย็น
4.ใส่ข้าวคั่วที่ป่นละเอียดแล้วลงคลุกกับน้ำตาลที่เคี่ยวไว้ คลุกเคล้าให้เข้ากันจนทั่ว
5.เอาขนมอัดใส่พิมพ์ แล้วเคาะออกใส่ขวดโหลหรือภาชนะเก็บไว้
http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn36.htm

ขนมมันรังนก


ส่วนผสม
-มันเทศ 500 กรัม
-น้ำมันพืช 3 ถ้วยตวง
-น้ำตาลปีบ 500 กรัม
-แบะแซ 1 ช้อนโต๊ะ
-น้ำ 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1.มันเทศปอกเปลือกออกหั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็กตามยาว แช่น้ำปูนใส แล้วล้างให้สะอาด ใส่กระชอนผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
2.ตั้งกระทะให้ร้อนใส่น้ำมันตั้งไฟ พอน้ำมันร้อนใส่มันลงทอดทีละน้อย ให้กรอบเหลือง แล้วตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ
3.กระทะทองตั้งไฟใส่น้ำตาล ใส่น้ำ แบะแซลงเคี่ยวจนเหนียว ใสมันทอดลงไปเคล้าให้ทั่วยกกระทะลง
4.แบ่งมันที่คลุกน้ำตาลไว้แล้วเป็นก้อนกลมพักไว้ให้อยู่ตัวจัดใส่ภาชนะ
http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn41.htm

ขนมโสมนัส


ส่วนผสม
-ไข่ไก่ 2 ฟอง
-เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
-มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 1 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทรายละเอียด 1 ถ้วยตวง
-น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.ใส่มะพร้าวที่ ขูดไว้ลงในถาด เกลี่ยให้บางเสมอกัน นำไปอบที่อุณหภูมิ 200 องศา จนมะพร้าวแห้งกรอบ นำออกจากถาดปล่อยพักไว้ให้เย็น
2.ตีไข่ขาวให้ขึ้นจนไข่ตั้งยอด แล้วใส่น้ำตาลทีละน้อย เมื่อน้ำตาลหมดใส่เกลือตีต่อไปจนไข่ตั้งยอดอีกครั้ง
3.เทมะพร้าวที่อบแห้งแล้วลงในไข่เคล้าเบาๆให้เข้ากัน
4.ตักขนมที่ผสมกันเรียบร้อยแล้วเป็นก้อนกลม วางลงบนถาดที่ทาน้ำมันไว้บางๆ นำเข้าอบที่อุณหภูม 250 องศา จนขนมแห้งกรอบดี แซะออกจากถาดผึ่งไว้ให้เย็น

http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn35.htm

ขนมผิง


ส่วนผสม
-แป้งมัน 2 1/4 ถ้วยตวง
-หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย1/2 ถ้วยตวง
-ไข่แดง(ไข่ไก่) 2 ฟอง

วิธีทำ
1.หัวกะทิใส่กระทะทองตั้งไฟอ่อนๆ ใส่น้ำตาลลงในกะทิเคี่ยวจนเป็นยางมะตูมลงพักไว้สักครู่
2.ใส่ป้งมันลงในน้ำกะทิที่เคี่ยวไว้คนแรงๆเร็วๆ ให้ทั่วใส่ไข่แดงคนให้เข้ากัน แล้วนวดต่อจนนุ่ม หมักไว้ 2-3 ชั่วโมง
3.ปั้นแป้งเป็นก้อนกลมๆ วางลงบนถาดที่ทาน้ำมันไว้บางๆห่างกันประมาณ 1 นิ้วจนเต็มถาดนำไปอบที่อุณหภูมิ 270-300 องศาฟาเรนไฮท์ประมาณ 10-20จนขนมสุก แซะออกจากถาดปล่อยไว้ให้เย็นแล้วจึงนำเก็บใส่ขวดโหล
http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn31.htm

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

ขนมลืมกลืน


ส่วนผสม
-แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง
-น้ำลอยดอกไม้ 5 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง
-หัวกะทิ 1/2 ถ้วยตวง
-แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ
-เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1.ผสมแป้งถั่วเขียวกับน้ำตาลทราย ให้เข้ากันใส่ลงในกระทะทองคนให้เข้ากันใส่น้ำลอยดอกไม้ คนให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ กวนจนแป้งสุกใส
2.หยอดขนมลงในพิมพ์หรือถ้วยตะไล
3.ผสมหัวกะทิแป้งข้าวเจ้าลงในกระทะทอง กวนด้วยไฟอ่อนๆ ใส่เกลือ คนจนแป้งสุกและกะทิข้น หยอดหัวกะทิลงบนตัวขนม จัดใส่ภาชนะ
http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn47.htm

ขนมกระเช้าสีดา


ส่วนผสม
-แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง
-ไข่แดง 2 ฟอง
-น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
-น้าเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
-มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 2 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
-น้ำดอกไม้ 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1.นวดแป้งสาลีกับน้ำมันพืชให้เข้ากันใส่ไข่แดงลงนวดทีละฟองนวดจนแห้งเนียนนิ่มใช้ผ้าขาวบาง ชุบน้ำบิดหมาดๆคลุมพักไว้ประมาณ 10-15 นาที
2.แบ่งแป้งที่ละน้อยกดลงพิมพ์กระเช้าใส่ถาดนำเข้าอบไฟกลางจนแป้งสุกยกลงพักไวให้เย็น
3.ผสมน้ำทรายน้ำลอยดอกไม้ ตั้งไฟอ่อนๆ เคี่ยวจนตาลทรายละลายเหนียวจนเป็ยยางมะตูมใส่มะพร้าวลงคลุกกับน้ำเชื่อมให้ทั่ว กันจนน้ำเชื่อมแห้ง
4.ตักมะพร้าวใส่ลงในกระเช้าจัดให้สวยงามแล้ววางผึ่งลมให้แห้งแล้วจึงจัดใส่ภาชนะ
http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn19.htm

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลักการออกแบบและพัฒนาการนำเสนองานผ่านเว็บ

ขั้นตอนเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับพัฒนาเว็บไซต์

1.1 กำหนดเป้าหมายหลักของเว็บไซต์
- กำหนดเป้าหมายหลักของเว็บไซต์ให้ชัดเจน เพื่อเป็นตัวกำหนดขอบเขตของเว็บไซต์ ซึ่ง
สามารถกำหนดเป้าหมายเป็นกลุ่มตามความสำคัญ เพื่อให้ผู้พัฒนาได้เห็นว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญเป็นลำดับแรก
- ระบุวิธีวัดความสำเร็จ เพื่อประเมินผลความสำเร็จของเว็บตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งอาจวัดจากการเพิ่มยอดขายที่มากขึ้น หรือมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นหรือวัดจากปริมาณผู้ที่เข้ามาอ่านข้อมูล เป็นต้น
- พิจารณาทรัพยากรที่มี อันได้แก่ บุคลากร เงินทุน ระยะเวลา และเนื้อหา
1.2 กำหนดกลุ่มผู้ใช้เป้าหมาย ใคร มีลักษณะอย่างไร เพื่อจะได้ออกแบบเว็บไซต์ได้ตรงกับกลุ่มผู้ใช้หลัก
- ค้นหาสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ เพื่อสร้างความสำเร็จดังนั้น เว็บจะต้องตอบคำถามของผู้ใช้ได้ว่า
ต้องการอะไร และจะได้ประโยชน์อะไรจากเว็บบ้าง
- ศึกษาว่ามีเว็บใดบ้างที่ให้บริการคล้ายกัน โดยสำรวจถึงเนื้อหา ลักษณะการออกแบบ เพื่อ
นำมาวิเคราะห์หาจุดอ่อน จุดแข็งของแต่ละเว็บ เพื่อนำมาประกอบการกำหนดขอบเขตและลักษณะ
การออกแบบของเว็บไซต์

ขั้นตอน และกระบวนการพัฒนาเว็บไซต์
ขั้นตอนที่ 1 : เก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับพัฒนาเว็บไซต์
1. กำหนดเป้าหมายหลักของเว็บไซต์
2. เนื้อหาสำหรับจัดทำเว็บไซต์
ขั้นตอนที่ 2 : พัฒนาเนื้อหา (Site Contact)
1. สร้างกลยุทธ์การนำเสนอข้อมูล เพื่อให้เนื้อหาบนเว็บไซต์ เป็นที่น่าสนใจ
2. กำหนดขอบเขตเนื้อหาที่จะนำเสนอ
3. จัดรูปแบบเนื้อหาข้อมูลให้ถูกต้องอย่างมีระบบ
ขั้นตอนที่ 3 : พัฒนาโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure)
1. จัดทำแผนผังโครงสร้างข้อมูล
2. พัฒนาระบบเนวิเกชั่น
ขั้นตอนที่ 4 : ออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ (Visual Design)
1. ออกแบบลักษณะหน้าจอโฮมเพจ และเว็บเพจ
2. พัฒนาเว็บเพจต้นแบบที่จะใช้สำหรับการพัฒนาเว็บไซต์
3. พัฒนาเครื่องมือสำหรับ Update หรือเพิ่มเติมข้อมูลต่างๆในเว็บไซต์
ขั้นตอนที่ 5 : พัฒนาและดำเนินการ (Production and Operation)
1. ใส่ข้อมูล และเนื้อหาที่จะนำเสนอลงในหน้าจอโฮมเพจ และเว็บเพจ
2. เปิดตัวเว็บไซต์ และทำให้เป็นที่รู้จัก
3. ดูแล และพัฒนาต่อเนื่อง

หลักการสร้างเว็บไซต์
1. กำหนดจุดมุ่งหมายและกลุ่มเป้าหมาย
ก่อนที่จะทำอะไรท่านต้องมีจุดมุ่งหมายในการทำงาน การทำเว็บไซต์ก็เช่นเดียวกัน ท่านจะต้องมีจุดหมายว่า ท่านจะทำเพื่ออะไร เพื่อใครเมื่อท่านมีจุดมุ่งหมายและกลุ่มเป้าหมายที่แน่ชัดแล้ว จะทำให้ท่านมองเห็นเป้าหมายในการทำงานได้ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเช่น นอกจากเรื่องการถ่ายภาพและเรื่องเทคโนโลยีการศึกษาแล้ว ผมยังมีความสนใจเรื่องของช้างถ้าจะทำเว็บไซต์ผมก็จะทำเรื่องช้าง โดยมีจุดหมายเพื่อนำเสนอความรู้เกี่ยวกับช้างตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน และกลุ่มเป้าหมายของผมคือคนที่สนใจเรื่องช้างและเรื่องธรรมชาติ เป็นต้น
2. รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
เมื่อท่านได้เรื่องราวที่จะนำเสนอ โดยมีจุดมุ่งหมายและกลุ่มเป้าหมายแน่ชัดแล้ว ก็ถึงขั้นตอในการรวบรวมแหล่งข้อมูล ผมยกตัวอย่างเรื่องช้างอีกนะครับ ผมก็จะค้นหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั้งที่เป็นเนื้อหา รูปภาพเสียง ตลอดจนภาพเคลื่อนไหว เพราะทั้งหมดสามารถนำเสนอผ่านสื่ออินเทอร์เน็ตได้ พอได้ข้อมูลมากพอแล้ว ก็ไปต่อขั้นตอนต่อไปเลยครับ
3. ศึกษาและเรียงลำดับข้อมูล
เมื่อท่านได้ข้อมูลมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องมานั่งอ่านมานั่งศึกษากันว่าส่วนไหนที่เกี่ยวข้องกันบ้าง พอจะแยกเป็นหมวดเป็นหมู่ได้หรือเปล่า เช่น ผมหาข้อมูลเรื่องช้างมาได้พอสมควร ผมก็จะมาแยกแยะ ดังนี้ ประวัติของช้างตั้งแต่ดึกดำบรรพ์, วิวัฒนาการของช้าง, ประเภทของช้าง ช้างไทย, ระโยชน์ของช้าง ฯลฯ เป็นต้น เมื่อได้หัวข้อหลักๆ แล้ว หัวข้อย่อยก็จะตามมาเองครับ
4. การออกแบบสาร (Message Design)
เมื่อท่านได้เนื้อหาและหัวข้อในการนำเสนอแล้ว ต่อไปก็๋เป็นการออกแบบเนื้อหาให้น่าสนใจ ถ้าตามหลักของเทคโนโลยีการศึกษาเราจะเรียกว่าการออกแบบสาร (Massage Design) การออกแบบสารนี้นอกจากเนื้อหาแล้ว ยังรวมไปถึงองค์ประกอบต่างในการนำเสนอด้วย เช่น สีของตัวอักษร, ภาพประกอบ, กราฟิกต่างๆ เสียง ฯลฯ เหล่านี้จะต้องสื่อความหมายไปในทางเดียวกันกับเนื้อหาด้วย นอกจากนี้ ควรจะเป็นมาตรฐานเดียวกันเช่น สีของตัวอักษร หรือ ปุ่ม (button) ในการเชื่อมโยง (link
5. ทำแผนผังของงาน (Flowchart)
ขั้นตอนนี้จะทำให้ท่านลำดับเรื่องราวได้ง่ายขึ้น และเป็นประโยชน์ในการเชื่อมโยง (link) เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน นักออกแบบบางคนอาจใช้กระดาษสติกเกอร์แปะไว้บนบอร์ด ตามลำดับของเนื้อหาเพราะง่ายต่อการเปลี่ยนแปลง หรืออาจจะใช้วิธีการเขียนบนไวท์บอร์ดด้วยปากกาที่ลบได้
6. การเขียน (Storyboard)
หากท่านเคยทำงาน Presentation มาก่อนก็คงจะทราบว่าประโยชน์ของ Storyboard นั้นมีมากมาย เพราะจะทำให้มองเห็นภาพหน้าจอได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และถ้าหากท่านใดมีฝีไม้ลายมือในเชิงศิลปะแล้ว ก็๋จะทำให้การทำงานง่ายขึ้นไปอีก เมื่อครั้งผมทำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้นจะมีกระดาษ Storyboard สำหรับออกแบบโดยเฉพาะและว่ากันเป็น Pixel เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม บางท่านอาจจะมองภาพไว้ใจแล้วนั่งทำหน้าจอเลยก็ได้
7. ลงมือทำ
งานการใดๆ ถ้าไม่ลงมือทำ ก็ย่อมไม่เห็นผลสัมฤทธิ์ ดังนั้นขั้นตอนนี้ ไม่ขอกล่าวมากนัก ส่วนเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ จะไปว่ากันใน หัวข้อ "เครื่องมือในการสร้างเว็บเพจ" เพราะหน้านี้ยาวเกินทฤษฎีแล้ว
8. ทดสอบและประเมินผล
หลังจากที่ท่านทำเสร็จทุกขั้นตอนของการทำเว็บเพจแล้ว ก็ควรจะมีการทดสอบและประเมินผลจากตัวท่านเองก่อน โดยสมมติว่าท่านเองเป็นผู้ชมคนหนึ่ง ควรดูการเชื่อมโยงว่า สีเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกหน้าและใช้การได้หรือเปล่า ภาพหรือกราฟิกตรงตามเนื้อหาหรือไม่ จากนั้นให้แนะนำเพื่อนฝูงให้ดูและช่วยตรวจสอบอีกที หากพบข้อบกพร่องก็ควรแก้ไข ก่อนจะประชาสัมพันธ์ต่อไป

เริ่มต้นกับการสร้างเว็บไซต์
ก่อนอื่น ๆ เรา มาทำความรู้จัก กับ "Web Presentation" กันก่อน จะว่าไปแล้วกระบวนการจัดสร้างเว็บไซต์นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากการนำเสนอผ่านสื่ออื่นๆ เท่าใดนัก ท่านใดที่เคยทำงาน Presentation หรือผ่านการทำสื่อประเภทต่างๆ เช่นการทำสไลด์ การทำรายการโทรทัศน์ การนำเสนอผลงานด้วยโปรแกรม PowerPoint หรือการทำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(Computer-Assisted Instruction : CAI) สิ่งเหล่านี้ล้วนมีกระบวนการไม่แตกต่างกันมากมายเท่าใดนัก การนำเสนอบนเว็บนั้นก็จัดเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของกระบวนการสื่อสาร เราลองมาดูนะว่ารูปแบบและกระบวนการสื่อสารนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง
กระบวนการสื่อสารมีองค์ประกอบ 4 ส่วน ดังนี้
1. ผู้ส่งสาร (Sender) ซึ่งก็คือเรานั่นเอง
2. สาร (Message) หมายถึง สิ่งที่เราต้องการนำเสนอ
3. สื่อหรือช่องทาง (Medium/Channel) หมายถึง ตัวกลางหรือสิ่งที่จะนำสารที่เราต้องการต้องการนำเสนอไปสู่ผู้รับ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ต่างๆ และในที่นี้ก็คงจะเป็น Web Site นั่นเอง
4. ผู้รับ (Receiver) ก็คือผู้รับสาร และการนำเสนอผ่าน WWW นั้นผู้รับสาร เรามีมากมายทั่วโลกที่จะเข้ามาชม Web ของเรา ดังนั้นในการออกแบบและจัดทำนั้นเราควรมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้เรามีเป้าหมายในการทำงาน
http://blog.sanook.com/DesktopModules/MIH/Blog/ http://www.kradandum.com/thesis/thesis-02-4.htm

การวิเคราะห์และประเมินผลงานสื่อนำเสนอแบบต่างๆ

การประเมินผลสื่อการเรียนการสอน
- ความหมายของการประเมินผลสื่อการเรียนการสอน
- การตรวจสอบสื่อการเรียนการสอน
การตรวจสอบโครงสร้างภายในสื่อ (Structural)
การตรวจสอบคุณภาพสื่อ (Qualitative)
- การทดสอบสื่อ
การประเมินผลสื่อการเรียนการสอน หมายถึง การวัดผลสื่อการเรียนการสอนมาตีความหมาย (Interpretation) และตัดสินคุณค่า (Value judgment) เพื่อที่จะรู้ว่า สื่อนั้นทำหน้าที่ตาม วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้แค่ไหน มีคุณภาพดีหรือไม่เพียงใด มีลักษณะถูกต้องตามที่ต้องการ หรือไม่ประการใด
การตรวจสอบสื่อการเรียนการสอน
การตรวจสอบแบ่งออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ คือ

การตรวจสอบโครงสร้างภายในสื่อ (Structural)
การตรวจสอบคุณภาพสื่อ (Qualitative)
การตรวจสอบโครงสร้างภายในสื่อ (Structural)
1. ลักษณะสื่อ
1.1 ลักษณะเฉพาะตามประเภทของสื่อ
1.2 มาตรฐานการออกแบบ (Design Standards)
1.3 มาตรฐานทางเทคนิควิธี (Technical Standards)
1.4 มาตรฐานความงาม(Aesthetic standards)

ผู้ตรวจสอบลักษณะสื่อการเรียนการสอน ได้แก่ นักโสตทัศนศึกษา
นักเทคโนโลยีการศึกษา
2. เนื้อหาสาระ
เนื้อหาที่ปรากฏในสื่อจะต้องครบถ้วนและถูกต้อง ความถูกต้องนี้จะถูกต้องตามเนื้อหารสาระจริง ซึ่งอาจบอกขนาด ปริมาณ และหรือเวลา เป็นต้น สาระ หรือมโนทัศน์ที่สำคัญต้องปรากฏอย่างชัดเจน

ผู้ตรวจสอบเนื้อหาสาระ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญในเนื้อหาสาระเฉพาะ และครูผู้สอนกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนอย่างน้อย 3 คน
การตรวจสอบคุณภาพสื่อ (Qualilative basis)
เครื่องมือ
ในการทดสอบคุณภาพสื่อการเรียนการสอน เครื่องมือที่นิยมใช้กันมา
มี 2 แบบ คือ
1. แบบทดสอบ การพัฒนาแบบทดสอบมีขั้นตอนดังนี้
กำหนดจำนวนข้อของแบบทดสอบ
พิจารณากำหนดน้ำหนักวัตถุประสงค์แต่ละข้อของการพัฒนาสื่อ แล้วคำนวณจำนวนข้อทดสอบสำหรับวัตถุประสงค์แต่ละข้อ
สร้างข้อสอบตามจำนวนที่กำหนดไว้ในข้อ 1.2 โดยสามารถวัดตามเกณฑ์ที่กำหนดได้ในวัตถุประสงค์แต่ละข้อ โดยปกติควรจะสร้างข้อสอบสำหรับวัดแต่ละวัตถุประสงค์ให้มีจำนวนข้ออย่างน้อยที่สุดเป็น 2 เท่าของจำนวนข้อสอบที่ต้องการเพื่อการคัดเลือกข้อที่เหมาะสมหลังจากที่ได้นำไปทดลองใช้และวิเคราะห์ข้อสอบ
พิจารณาตรวจเพื่อความถูกต้อง
นำแบบทดสอบไปทดลองใช้กับตัวแทนกลุ่มเป้าหมาย
วิเคราะห์แบบทดสอบโดยตรวจค่าความเชื่อมั่น ความตรงเชิงเนื้อหา และค่าความยากง่าย
คัดเลือกข้อสอบให้มีจำนวนข้อตามความต้องการ
2. แบบสังเกต สิ่งสำคัญที่ควรสังเกต และบันทึกไว้เป็นรายการในแบบสังเกต คือ
ความสามารถเข้าใจได้ง่าย (Understandable)
การใช้ประสาทสัมผัสได้ง่าย เช่น มีขนาด อ่านง่าย หรือดูง่าย คุณภาพของ
เสียงดี ฟังง่าย ฯลฯ
การเสนอตัวชี้แนะ (Cuing) สำหรับสาระสำคัญเด่น ชัดเจน สังเกตง่าย (Noticable)
ระยะเวลาที่กำหนดเหมาะสม
วิธีการใช้ที่ง่าย สะดวก ไม่ยุ่งยาก หรือสลับซับซ้อน
ผู้เรียนสนใจ และติดตามการแสดงของสื่อโดยตลอด
ตัวแทนกลุ่มเป้าหมาย
ได้แก่ ผู้เรียน หรือบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายซึ่งคัดเลือกมาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างตามจำนวนที่ต้องการในแต่ละครั้งของการทดสอบ
http://mediatalkblog.wordpress.com/2008/03/15/media-of-wars/edu.swu.ac.th

ขนมน้ำดอกไม้


ส่วนผสม
-แป้งข้าวเจ้า 1 1/4 ถ้วยตวง
-แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ
-น้ำตาล 1 ถ้วยตวง
-น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วยตวง
-น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1.ผสมแป้งข้าวเจ้าและแป้งท้าวฯ เข้าด้วยกันใส่น้ำลอยดอกมะลิทีละน้อยนวดจนแป้งเข้ากันดี
2.ผสมน้ำกับน้ำตาลตั้งไฟเคี่ยวน้ำเชื่อม แล้วใส่ลงในแป้งนวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน
3.เรียงถ้วยตะไลในรังถึง นึ่งด้วยไฟแรงจนน้ำเดือดร้อนจัดจึงตักแป้งหยอดลงในถ้วยตะไลให้เต็มถ้วย ปิดฝานึ่ง ต่ออีกประมาณ 10 นาที เมื่อขนมสุกดียกลงพักไว้ให้เย็นแคะขนมออกจากถ้วย
http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn25.htm

ขนมอาลัว


ส่วนผสม
-แป้งสาลี 2 ถ้วยตวง
-หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
-น้ำใบเตย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.ร่อนแป้งสาลี 2 ครั้ง
2.ใส่น้ำตาลทรายลงผสมกับแป้งสาลีที่ร่อนไว้เคล้าให้เข้ากัน
3.ใส่หัวกะทิทีละน้อยนวดให้น้ำตาลละลาย จนหัวกะทิหมด คนให้เข้ากันใส่น้ำใบเตย
3.ใช้ผ้าขาวบางกรองส่วนผสมใส่ในกระทะทอง ตั้งไฟกลางกวนเร็วๆ ให้แป้งสุก
4.เมื่อแป้งสุกแล้วพักไว้สักครู่ใส่กรวยบีบหรือหยอดตามต้องการนำอบด้วยไฟอ่อนจนผิวนอกของขนมแห้ง ยกลงจากเตารอให้เย็นแซะออกจากถาดจัดใส่ภาชนะ
http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn49.htm

ขนมสำปันนี


ส่วนผสม
-แป้งสาลี 1/2 ถ้วยตวง
-แป้งมันคั่วสุก 1/4 ถ้วยตวง
-หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1.ผสมหัวกะทิกับน้ำตาลทราย ใส่ลงในกระทะทองตั้งไฟอ่อนเคี่ยวให้น้ำตาลละลายเข้ากับกะทิ แล้วยกลง
2.ใส่แป้งสาลีลงในกะทิเคี่ยวตั้งไฟอ่อนๆ กวนให้แป้งสุกและกะทิแห้งขนมจับตัวเป็นก้อนล่อนออกจากกระทะ ยกลงจากเตา ใช้พายคนให้คลายร้อน
3.ตักขนมอัดลงในพิมพ์ที่โรยด้วยแป้งมันไว้ก่อนแล้ว จึงเคาะขนมจากพิมพ์ใส่ถาด
http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn48.htm

ขนมข้าวเหนียวแก้ว


ส่วนผสม
-ข้าวเหนียว 1 ถ้วยตวง
-หัวกะทิ 3/4 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
-เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
-น้ำใบเตย 1/2 ถ้วยตวง
-น้ำปูนใส 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.ซาวข้าวเหนียวให้สะอาดวางลงบนรังถึงที่ปูด้วยผ้าขาวบาง ตั้งบนน้ำเดือด นึ่งจนข้าวเหนียวสุก
ใส่น้ำใบเตยผสมกับหัวกะทิคนให้เข้ากับน้ำปูนใส แล้วกรองด้วยผ้าขาวบางใส่เกลือป่นคนให้เกลือละลาย ใส่ชามอ่างใบใหญ่ๆ
2.เมื่อข้าวเหนียวสุกดีตักข้าวใส่ชามกะทิเคล้าเร็วๆ ให้ข้าวเหนียวคลุกกับกะทิให้ทั่วปิดปากชามไว้ประมาณ 10-20 นาที ให้ข้าวเหนียวอมน้ำไว้จนกะทิแห้ง
3.ใส่น้ำตาลลงในข้าวเคล้าเบาๆ ให้ทั่วกัน แล้วเทใส่กระทะทองตั้งไฟอ่อนๆ คลุกจนน้ำตาลละลายจับเม็ดทั่วยกลงจากเตา จัดใส่ภาชนะให้สวยงาม
http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn14.htm

ขนมทองหยอด


ส่วนผสม
-ไข่เป็ด 20 ฟอง
-แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
-น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง
-น้ำลอยดอกไม้ 5 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1.แยกไข่แดงและไข่ขาออกจากกัน ใช้แต่ไข่แดงตีให้ไข่แดงฟูขึ้นมากๆ แล้วใส่แป้งข้าวเจ้าคนเร็วๆให้เข้ากัน
2.ผสมน้ำลอยดอกไม้กับน้ำตาลทรายตั้งไฟแรงให้น้ำตาลเดือดพล่านเคี่ยวประมาณ 10-20 นาทีให้น้ำเชื่อมข้น แบ่งส่วนหนึ่งไว้สำหรับแช่ทองหยอดที่สุกแล้วส่วนที่เหลือตั้งไฟไว้สำหรับหยอดทองหยอด
3.ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางตักแป้งและใช้นิ้วหัวแม่มือสะบัดแป้งลงในกระทะที่ตั้งน้ำเชื่อมไว้ททำวิธีนี้จนเต็มกระทะ พอแป้งสุกลอยตัวตักขึ้นพักไว้
http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn9.htm

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แนะนำตัว



ชื่อ นางสาวปนัดดา ธุระธรรม

รหัสนิสิต 51010511014

สาขา วิทยาศาสตร์ทั่วไป

คณะศึกษาศาสตร์

ขนมลูกชุบ


ลูกชุบ
ส่วนผสม
1.
ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1 1/3 ถ้วยตวง
2.น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
3.หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
4.วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
5.น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1. แช่ถั่วเขียวประมาณ 1-2 ชั่วโมง นึ่งให้สุกนุ่ม แล้วบดให้ละเอียด
2. หัวกะทิตั้งไฟอ่อนๆ ใส่นำตาลทรายลงเคี่ยวให้นำตาลละลายหมด ใส่ถั่วลงกวนกับกะทิตั้งไฟอ่อนๆ กวนให้แห้งจนถั่วล่อนออกจากกระทะ
3. เทถั่วที่กวนได้ที่แล้วลงในถาดหรือชามพักไว้ให้เย็น
4.ปั้นถั่วเป็นรูปผลไม้เล็กๆ ตามต้องการ แล้วระบายสีผลไม้ที่ปั้นไว้ให้เหมือนจริงพักไว้ให้สีแห้ง
5.ผสมผงวุ้นกับน้ำเปล่าใส่หม้อตั้งไฟอ่อนๆ จนวุ้นละลายหมดยกลง วางพักไว้สักครู่
6.นำผลไม้ที่ระบายสีไว้ ชุบวุ้นให้ทั่ว พักไว้ให้แห้งแล้วชุบอีก 2 ครั้ง ปล่อยให้แห้งจึงนำไปตกแต่งให้สวยงาม

http://www.skn.ac.th/skl/project/swee65/sn1.htm

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติและความเป็นมาของขนมไทย

ขนมไทยนั้นเกิดขึนมานานแล้วตั้งแต่ประเทศ
ไทยยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ
เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน ตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้าน อาหารการกินร่วมไปด้วย ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่ และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกส ของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนม ที่ใส่มักเป็น "ของเทศ" เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์ ขนมไทยเป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้ เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ ตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตก ต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนม จากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ
 

ตำรับขนมไทย Copyright © 2009 Cookiez is Designed by Ipietoon for Free Blogger Template